ประกันที่่มีอยู่ ไม่พอกับการรักษามะเร็ง ทำอย่างไรได้บ้าง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ แอดมินได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนคนหนึ่งที่โทรมาปรึกษาเกี่ยวกับประกันสุขภาพที่ถืออยู่ ซึ่งเพื่อนเริ่มกังวลว่าแผนที่ทำไว้อาจไม่ครอบคลุมเพียงพอ โดยเฉพาะในเรื่องการรักษามะเร็ง

เพื่อนแอดเล่าว่า ปัจจุบันมีประกันสุขภาพที่คุ้มครองการรักษาผู้ป่วยในแบบเหมาจ่าย รวมถึงมะเร็งขั้นพื้นฐาน เช่น การทำเคมีบำบัดและรังสีบำบัด แต่เมื่อสอบถามเรื่องการรักษาเฉพาะทาง เช่น Targeted Therapy ที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก รวมถึง MRI และ CT Scan ซึ่งประกันที่ถืออยู่ไม่ครอบคลุม

การรักษามะเร็งในปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าตรวจ MRI, CT Scan, การทำ Targeted Therapy, หรือเคมีบำบัด ซึ่งแต่ละวิธีล้วนมีค่าใช้จ่ายที่หนักเอาการ การไม่เตรียมความพร้อมด้านประกันให้ครอบคลุมทุกการรักษาอาจทำให้ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาล นี่จึงเป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่หลายคนมองข้าม

การรักษาแบบ Targeted Therapy คือการรักษามะเร็งด้วยการเจาะจงเซลล์มะเร็งโดยไม่กระทบเนื้อเยื่อปกติ ค่าใช้จ่ายสำหรับวิธีนี้อาจสูงถึงหลายแสนหรือหลายล้านบาท ทำให้เพื่อนกังวลว่าจะต้องจ่ายเองหากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

🌟Solution ที่แอดแนะนำไปคือ

.

[[1. ซื้อแพ็คเกจเสริมสำหรับการรักษามะเร็งโดยเฉพาะ

แพ็คเกจนี้จะครอบคลุมการรักษาเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น Targeted Therapy, MRI, CT Scan ซึ่งการรักษาพวกนี้ บางทีไม่ต้องนอนโรงพยาบาล แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากๆ และวงเงินผู้ป่วยนอก มักไม่ครอบคลุม การมีแพคเกจเสริมนี้ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น

.

[[2. ซื้อประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายเบ็ดเสร็จ

ประกันสุขภาพรุ่นหลังๆ มักจะครอบคลุมการรักษาแบบเบ็ดเสร็จ ทั้งมะเร็งและโรคร้ายแรงอื่น ๆ อย่างครบวงจร เช่น ไตวาย ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายและการคุ้มครองที่อาจไม่ครอบคลุมทั้งหมด ขึ้นชื่อว่าเหมาจ่าย แต่แบบประกันแต่ละที่ แต่ละแผนอาจจะต่างกัน อย่าลืมเช็ครายละเอียดดีๆ นะครับ

ในเคสอื่นๆ เพื่อนๆ ยังสามารถพิจารณา ทางเลือกต่อไปนี้ ได้เช่นเดียวกันนะครับ

.

👉เลือกประกันโรคร้ายแรงที่ให้เงินก้อน (Critical Illness)

ประกันโรคร้ายแรงแบบนี้จะจ่ายเงินก้อนเมื่อผู้ถือกรมธรรม์ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งหรือโรคร้ายแรงอื่น ๆ เงินก้อนนี้สามารถใช้ได้ทั้งการรักษา หรือการจัดการค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น การจ้างพยาบาลดูแล ค่าเดินทาง หรือแม้กระทั่งค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหากผู้ป่วยไม่สามารถทำงานได้

.

👉เพิ่มทุนประกันชีวิตเพื่อรับมือกับความเสี่ยงระยะยาว : หากกังวลเกี่ยวกับอนาคตของครอบครัว การเพิ่มทุนประกันชีวิตให้สูงขึ้นอาจช่วยให้ครอบครัวมีความมั่นคงหากต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด การมีทุนประกันที่เพียงพอจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายทางการเงินได้

.

👉ตรวจสอบและปรับปรุงแผนประกันเรื่อยๆ : แผนที่เราเคยซื้อเมื่อ 5 ปีที่แล้ว อาจไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในปัจจุบัน นี่คือขั้นตอนสำคัญในการวางแผนความมั่นคงในระยะยาว

.

การรีวิวแผนประกันที่มีอยู่เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้เราได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสมและครบถ้วนในทุกช่วงเวลาของชีวิต การประกันที่เคยซื้อเมื่อหลายปีที่แล้ว อาจไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ปัจจุบันที่อาจมีความเสี่ยงหรือค่าใช้จ่ายสูงขึ้น

.

อย่ารอจนเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้วค่อยหาทางแก้ 🫣 มาวางแผนล่วงหน้ากันนะครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *